กลุ่มเหล็ก ชี้สหรัฐขึ้นภาษี 25% ไม่น่ากังวล ห่วงเหล็กจีนทุ่มตลาดมากกว่า

24 กุมภาพันธ์ 2568
กลุ่มเหล็ก ชี้สหรัฐขึ้นภาษี 25% ไม่น่ากังวล ห่วงเหล็กจีนทุ่มตลาดมากกว่า

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา ประกาศจะปรับขึ้นภาษีเหล็กและอลูมิเนียมนำเข้าจากทั่วโลก 25% โดยเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวยืนยัน มาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 4 มีนาคม 2568

สำหรับประเทศไทยนอกจากเป็นประเทศผู้นำเข้าเหล็กแล้ว ยังมีการส่งออกสินค้าเหล็กด้วย โดยในปี 2567 ล่าสุด ไทยส่งออกเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์มูลค่า 6,635 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือในรูปเงินบาทที่ 233,054 ล้านบาท ในจำนวนนี้ส่งออกไปตลาดสหรัฐเป็นอันดับ 1 มูลค่า 1,205 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือในรูปเงินบาท 42,375 ล้านบาท ลดลง 18% เมื่อเทียบกับปีก่อน

"ทรัมป์ 1" ขึ้นภาษีเหล็กไทยไปแล้ว

นายบัณฑูรย์ จุ้ยเจริญ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ให้สัมภาษณ์กับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กของสหรัฐในครั้งนี้ มองว่ามีผลกระทบกับไทยไม่มากนัก เนื่องด้วยตั้งแต่สมัยช่วงโดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในสมัยแรก(20 ม.ค. 2560-20 ม.ค.2564) หรือช่วง “ทรัมป์ 1”สินค้าเหล็กของไทยถูกสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้าที่ 25% ไปแล้ว การปรับขึ้นภาษีในครั้งนี้คงไม่มีผลกระทบต่อการส่งออกลดลงมากนัก คงขึ้นกับภาวะเศรษฐกิจ และความต้องการใช้เหล็กของสหรัฐเป็นหลัก จากที่ผ่านมาไทยมีการส่งออกเหล็กไปสหรัฐไม่เกิน 2 แสนตันต่อปี

“ผลกระทบทางตรงจากการปรับขึ้นภาษีสินค้าเหล็กของสหรัฐจากทั่วโลก 25% มองว่ามีไม่มาก แต่ที่เราห่วงคือผลกระทบทางอ้อมจากสินค้าเหล็กจีนที่ถูกสหรัฐขึ้นภาษีจะถูกส่งมาจำหน่ายในตลาดอาเซียน รวมถึงประเทศไทยที่เป็นตลาดนำเข้าเหล็กขนาดใหญ่เพิ่มขึ้น จากเวลานี้อุตสาหกรรมเหล็กของไทยก็ค่อนข้างวิกฤตอยู่แล้ว จากสินค้าเหล็กนำเข้าจากจีน และจากประเทศอื่น เข้ามาจำหน่ายในราคาดัมพ์ตลาด ทำให้มีการใช้กำลังผลิตค่อนข้างตํ่า โดยปีที่แล้วผู้ประกอบการเหล็กในประเทศ ใช้กำลังผลิตเฉลี่ยเพียง 29% ของกำลังการผลิตโดยรวม”

สำหรับประเทศจีนมีกำลังผลิตเหล็กปีหนึ่งประมาณ 1,100 ล้านตัน ใช้เองในประเทศประมาณ 900 ล้านตัน เหลือกำลังการผลิตส่วนเกินประมาณ 200 ล้านตัน โดยปีที่แล้วจีนส่งออกเหล็กประมาณ 110 ล้านตัน ในส่วนของประเทศไทยปี 2567 มีความต้องการใช้เหล็กประมาณ 16.3 ล้านตัน ผลิตเองในประเทศ 6.3 ล้านตัน นำเข้า 11.4 ล้านตัน ในจำนวนนี้เป็นการนำเข้าจากจีนเป็นหลัก เกือบ 5 ล้านตัน หรือคิดเป็นสัดส่วน 44% ของการนำเข้าเหล็กโดยรวมของไทย

ปิดตัวเพิ่มหากสกัดไม่ได้ผล

ต่อคำถาม ในปี 2568 คาดไทยจะมีการนำเข้าเหล็กจากจีนรวมถึงจากประเทศอื่น ๆ ที่ถูกสหรัฐขึ้นภาษีนำเข้า 25% เพิ่มขึ้นหรือไม่ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก กล่าวว่า ดูทิศทางแล้วยังตอบลำบาก ทั้งนี้การนำเข้าจะเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด ขึ้นกับการใช้มาตรการกำกับดูแลของภาครัฐ ผ่านมาตรการการตอบโต้การทุ่มตลาด(AD) และมาตรตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน(AC) ที่ผู้ค้ามีการพลิกแพลงสินค้า และเปลี่ยนพิกัดศุลกากรในการนำเข้า ว่าจะมีการกำกับดูแล และใช้ได้ผลมากน้อยเพียงใด ทั้งนี้ในส่วนของภาคเอกชนได้มีการประสานการทำงานกับหน่วยงานภาครัฐทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และหน่วยงานอื่น ๆ มาโดยตลอด

“สถานการณ์ปีนี้ เรายังห่วงจะมีโรงงานเหล็กไทยล้มหายตายจากอีก ซึ่งแต่ละบริษัทก็พยายามอดทนมาโดยตลอด ก็ยังหวังมาตรการของภาครัฐที่ออกมาจะช่วยได้ผล แต่ปัญหาคือขนาดของกำลังผลิตเหล็กส่วนเหลือของจีนมีมหาศาล 200 ล้านตันต่อปี ไทยใช้เหล็กทั้งประเทศก็แค่ 16 ล้านตัน แต่ 200 ล้านตันที่ว่าไม่ได้มาไทยประเทศเดียว ไปประเทศอื่นด้วย ซึ่งตรงนี้จะสร้างความกดดันในการแข่งขัน ในการตัดราคาในทั่วทุกพื้นที่ที่เขาส่งออกไป โดยเฉพาะอาเซียนที่เป็นตลาดใหญ่ และหลายประเทศก็พยายามหาทางป้องกัน”

ขณะเดียวกันการใช้กำลังการผลิตของผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศในปี 2568 จะเพิ่มขึ้นได้มากน้อยเพียงใด นอกจากเหล็กนำเข้าจะเป็นปัจจัยสำคัญแล้ว อีกด้านหนึ่งเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรมในประเทศ ภาคเอกชนอยากให้ภาครัฐให้การส่งเสริมสนับสนุนการใช้เหล็กในประเทศเพิ่มขึ้น ทั้งในโครงการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ รวมถึงในโครงการร่วมทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ในโครงการต่าง ๆ ซึ่งเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยได้


แหล่งที่มา : ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

The information in the above report, publication and website has been obtained from sources believed to be reliable. However, Iron & Steel Institute of Thailand does not guarantee the accuracy, adequacy or completeness of the information. Any opinions or forecasts regarding future events may differ from actual events or results. In addition, Iron & Steel Institute of Thailand reserves the right to make changes and corrections to the information, including any opinions or forecasts, at any time without notice.